โรคผิวหนัง สาเหตุ อาการ และวิธีการรักษาที่ควรรู้

ศูนย์ : ศูนย์ผิวหนังและความงาม

บทความโดย : นพ. รุ่งโรจน์ เบญจรัตนภาคี

โรคผิวหนัง

ผิวหนัง เป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดของร่างกาย ทำหน้าที่เป็นปราการด่านแรกในการปกป้องเราจากเชื้อโรค สารก่อภูมิแพ้ และรังสียูวี แต่ในขณะเดียวกัน ผิวหนังก็อาจเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ ที่นำไปสู่ ‘โรคผิวหนัง’ ได้หลากหลายรูปแบบ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและความมั่นใจของผู้ป่วย

โรคผิวหนังมีหลากหลายประเภท ตั้งแต่ปัญหาเล็กน้อยที่สร้างความรำคาญใจ เช่น ผื่นคันผิวหนัง สิว ไปจนถึงโรคร้ายแรงที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวมและคุณภาพชีวิต การทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคผิวหนัง ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุ อาการ การรักษา และการป้องกันจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยให้ดูแลสุขภาพผิวได้อย่างถูกวิธี เพื่อให้ผิวหนังยังคงทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ เป็นเกราะป้องกันที่แข็งแรงให้กับร่างกายของเราต่อไป


โรคผิวหนัง คืออะไร?


โรคผิวหนังคืออะไร โรคผิวหนังคืออะไร

โรคผิวหนัง คือภาวะความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับผิวหนัง ผม เล็บ หรือเยื่อบุต่าง ๆ ทั่วร่างกาย มีสาเหตุได้หลากหลายปัจจัย ทั้งจากภายในและภายนอกร่างกาย ความรุนแรงของโรคมีตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงรุนแรงมาก และอาจเป็นแบบเฉียบพลันหรือเรื้อรังได้

> กลับสารบัญ


สาเหตุหลักของโรคผิวหนัง

โรคผิวหนังเกิดได้จากหลายสาเหตุ โดยสามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ได้ดังนี้

  • การติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น โรคพุพอง สิวอักเสบ เกิดจากการติดเชื้อรา เช่น กลาก เกลื้อน ฮ่องกงฟุต
  • การติดเชื้อไวรัส เช่น เริม งูสวัด หูด หรือปรสิต เช่น หิด โลน
  • เกิดจากปฏิกิริยาที่ร่างกายแสดงต่อสารก่อภูมิแพ้ต่าง ๆ เช่น เกสรดอกไม้ ไรฝุ่น อาหารบางชนิด สารเคมีในเครื่องสำอาง หรือยาบางชนิด เกิดเป็นผื่นแพ้สัมผัส ลมพิษ และ โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง
  • ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน เป็นโรคที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติ และหันมาโจมตีเซลล์ผิวหนังของตัวเอง เช่น โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) และโรคด่างขาว
  • พันธุกรรม โรคผิวหนังบางชนิดสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ เช่น โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง โรคผิวหนังเกล็ดปลา
  • ปัจจัยทางกายภาพและสิ่งแวดล้อม การสัมผัสกับแสงแดดจัด สารเคมีรุนแรง อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงกะทันหัน หรือการเสียดสีเป็นเวลานานก็สามารถก่อให้เกิดปัญหาผิวหนังได้ เช่น ฝ้า กระ ผิวไหม้จากแดด แผลถลอก
  • ความผิดปกติของต่อมต่าง ๆ เช่น ต่อมไขมันที่ผลิตน้ำมันมากเกินไปจนเกิดสิว หรือต่อมเหงื่อที่ทำงานผิดปกติ
  • โรคมะเร็งผิวหนัง เกิดจากการเจริญเติบโตที่ผิดปกติของเซลล์ผิวหนัง ซึ่งอาจเป็นชนิดที่ไม่รุนแรง หรือรุนแรง และสามารถแพร่กระจายได้

> กลับสารบัญ


อาการทั่วไปของโรคผิวหนังมีอะไรบ้าง

อาการของโรคผิวหนังมีความหลากหลาย ขึ้นอยู่กับชนิดของโรค แต่โดยทั่วไปแล้วอาจสังเกตเห็นอาการดังต่อไปนี้

  • ผื่น อาจเป็นตุ่มแดง ตุ่มใส ตุ่มหนอง หรือผื่นนูน
  • คัน เป็นอาการที่พบได้บ่อยในโรคผิวหนังหลายชนิด
  • เจ็บปวดหรือแสบร้อน โดยเฉพาะในกรณีที่มีการอักเสบหรือตุ่มน้ำ
  • ผิวหนังแห้ง แตก ลอก อาจมีอาการร่วมกับอาการคัน
  • การเปลี่ยนแปลงของสีผิว เช่น จุดด่างดำ จุดขาว หรือรอยแดง
  • แผลพุพองหรือตกสะเก็ด
  • การเปลี่ยนแปลงของเล็บและเส้นผม เช่น เล็บเปราะ แตก หรือผมร่วง

> กลับสารบัญ


ใครบ้าง? เสี่ยงเป็นโรคผิวหนัง

โรคผิวหนังสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเพศใด วัยใด หรือมีเชื้อชาติอะไร แต่ก็มีบางกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป เนื่องจากปัจจัยทางพันธุกรรม สภาพแวดล้อม พฤติกรรม หรือภาวะสุขภาพอื่น ๆ ดังต่อไปนี้

  • ผู้ที่มีประวัติแพ้ หรือมีภาวะภูมิแพ้ เช่น หอบหืด ภูมิแพ้โพรงจมูก หรือมีประวัติ คนในครอบครัวเป็นโรคภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic Dermatitis/Eczema) จะมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดผื่นแพ้ผิวหนังได้ง่ายกว่าคนทั่วไป
  • ทารกและเด็กเล็ก ผิวหนังของเด็กเล็กบอบบาง ระบบภูมิคุ้มกันยังพัฒนาไม่เต็มที่ ทำให้ไวต่อการระคายเคือง การติดเชื้อ และมักพบโรคผิวหนังบางชนิดได้บ่อย เช่น ผื่นผ้าอ้อม ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง หรือ ผดร้อน การติดเชื้อราที่ผิวหนัง
  • ผู้สูงอายุ ผิวหนังของผู้สูงอายุจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามวัย เช่น ผิวแห้งง่ายขึ้น ผิวบาง สร้างคอลลาเจนได้น้อยลง ทำให้เสี่ยงต่อผิวแห้งคัน ผิวหนังอักเสบ แผลกดทับ และยังเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งผิวหนัง
  • ผู้ที่มีอาชีพต้องสัมผัสสารเคมี หรือสิ่งระคายเคือง อาชีพที่ต้องสัมผัสกับสารเคมีบ่อย ๆ เช่น ช่างเสริมสวย ช่างทำความสะอาด บุคลากรทางการแพทย์ หรือผู้ที่ทำงานในภาคเกษตรกรรม อาจเสี่ยงต่อผื่นแพ้สัมผัส หรือผื่นระคายเคือง
  • ผู้ที่ต้องสัมผัสแสงแดดจัดเป็นเวลานาน การทำงานกลางแจ้ง หรือการทำกิจกรรมกลางแดดจัดโดยไม่มีการป้องกันที่เพียงพอ จะเพิ่มความเสี่ยงต่อผิวไหม้แดด ฝ้า กระแดด และโรคมะเร็งผิวหนัง
  • ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยที่รับประทานยากดภูมิคุ้มกัน ผู้ติดเชื้อ HIV หรือผู้ป่วยโรคเรื้อรังบางชนิด ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอลง ส่งผลให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรคได้ไม่ดี ติดเชื้อที่ผิวหนังได้ง่ายขึ้น เช่น เชื้อรา เริม งูสวัด
  • ผู้ที่ดูแลสุขอนามัยไม่ดี การไม่รักษาความสะอาดของร่างกายและผิวหนัง หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ถูกสุขลักษณะ อาจนำไปสู่การติดเชื้อต่าง ๆ เช่น เชื้อรา กลาก เกลื้อน หรือ โรคหิด
  • ผู้ที่ใช้ยาบางชนิด ยาบางประเภทอาจมีผลข้างเคียงทำให้เกิดอาการทางผิวหนัง เช่น ผื่นแพ้ยา หรือทำให้ผิวไวต่อแสงมากขึ้น
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว โรคบางอย่างสามารถส่งผลกระทบต่อผิวหนังโดยตรง เช่น โรคเบาหวาน อาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น หรือ โรคต่อมไทรอยด์ ที่อาจทำให้ผิวแห้ง
  • ผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วน รอยพับของผิวหนังที่เกิดจากความอ้วนอาจเกิดการเสียดสี เหงื่อออกมาก และอับชื้น ทำให้เสี่ยงต่อเชื้อรา และการติดเชื้อแบคทีเรียได้ง่ายขึ้น

> กลับสารบัญ



ปรึกษาแพทย์ออนไลน์

การวินิจฉัยโรคผิวหนัง

หากมีอาการผิดปกติทางผิวหนัง ควรไปพบแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังเพื่อรับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง แพทย์อาจทำการตรวจร่างกายอย่างละเอียด ซักประวัติ หรืออาจจำเป็นต้องเก็บตัวอย่างผิวหนังไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ (Biopsy)

> กลับสารบัญ


โรคผิวหนังมีกี่แบบ แต่ละชนิดเป็นอย่างไร?

โรคผิวหนังสามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ตามสาเหตุและลักษณะของโรคได้หลายวิธี แต่โดยทั่วไปแล้วมักแบ่งได้เป็น 4 กลุ่มหลัก ดังนี้

กลุ่มโรคผิวหนังที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

  • โรคสะเก็ดเงิน เป็นโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ ทำให้เซลล์ผิวหนังแบ่งตัวเร็วกว่าปกติ ผิวหนังหนาตัวขึ้นเป็นปื้นแดง มีขุยสีขาวหรือสีเงิน
  • ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง เป็นโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังที่มักเกิดในคนที่มีประวัติภูมิแพ้ ผิวหนังจะแห้ง คัน มีผื่นแดง ตุ่มน้ำเล็ก ๆ เมื่อเกาอาจกลายเป็นแผล
  • โรคลมพิษ เป็นภาวะที่มีผื่นบวมแดงนูนขึ้นอย่างรวดเร็ว มีอาการคันมาก มักเกิดจากปฏิกิริยาแพ้ต่อสิ่งกระตุ้นบางอย่าง เช่น อาหาร ยา แมลงกัดต่อย อุณหภูมิ หรือ การทำงานของภูมิที่เปลี่ยนแปลงไป

กลุ่มโรคผิวหนังที่มาจากการติดเชื้อ

  • โรคติดเชื้อรา เช่น กลาก (Dermatophyte) ที่มีลักษณะเป็นผื่นวงแหวนแดง คัน และ เกลื้อน (Tinea Versicolor) ที่มีลักษณะเป็นดวงขาว ๆ หรือน้ำตาลตามลำตัว มักพบในบริเวณที่อับชื้น
  • โรคติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น สิว ซึ่งเกิดจากการอักเสบของต่อมไขมัน และ ฝี หนอง
  • โรคติดเชื้อไวรัส เช่น เริม มีลักษณะเป็นตุ่มน้ำใส ๆ ที่ริมฝีปาก หรืออวัยวะเพศ และงูสวัด เป็นผื่นตุ่มน้ำเป็นแนวยาวตามเส้นประสาท มีอาการปวดแสบปวดร้อน

กลุ่มโรคผิวหนังจากแสงแดด

  • ผิวไหม้แดด ผิวแดง แสบร้อน บวมพอง เป็นผลจากการได้รับแสงแดดจัดมากเกินไป
  • กระแดด เป็นจุดสีน้ำตาลเข้มที่ปรากฏบนผิวหนังที่สัมผัสแสงแดดเป็นประจำ
  • โรคผิวหนังแพ้แสง เป็นภาวะที่ผิวหนังมีปฏิกิริยาไวต่อแสงแดดผิดปกติ ทำให้เกิดผื่นแดง คัน หรือบวมพองเมื่อโดนแดด
  • ฝ้า

กลุ่มโรคเกี่ยวกับเส้นผมและหนังศีรษะ

  • รังแค เป็นภาวะที่เซลล์ผิวหนังบนหนังศีรษะหลุดลอกออกมาเป็นขุยขาว
  • โรคผมร่วง มีหลายสาเหตุ เช่น ผมร่วงจากพันธุกรรม ผมร่วงเป็นหย่อม และผมร่วงจากโรคบางชนิด
  • เชื้อราบนหนังศีรษะ มีอาการคัน มีรังแค ผมร่วงเป็นหย่อม ๆ

> กลับสารบัญ


การรักษาโรคผิวหนัง

การรักษาโรคผิวหนังมีความหลากหลาย ขึ้นอยู่กับชนิดของโรค สาเหตุ ความรุนแรงของอาการ และปัจจัยอื่น ๆ ของผู้ป่วย โดยทั่วไปแล้ว การรักษาโรคผิวหนังสามารถแบ่งออกเป็นหมวดหมู่หลัก ๆ ได้ดังนี้

  1. ยาทาภายนอก เป็นวิธีการรักษาที่นิยมใช้มากที่สุดสำหรับโรคผิวหนังที่ไม่รุนแรง หรือใช้ร่วมกับการรักษาอื่น ๆ เพื่อควบคุมอาการ เช่น ยาสเตียรอยด์ ใช้ลดการอักเสบ อาการคัน และรอยแดง ยาฆ่าเชื้อรา ใช้รักษากลาก เกลื้อน ฮ่องกงฟุต ยาปฏิชีวนะ หรือยาต้านไวรัส เป็นต้น
  2. ยารับประทาน ใช้สำหรับโรคผิวหนังที่มีอาการรุนแรงเป็นบริเวณกว้าง หรือไม่ตอบสนองต่อยาทา เช่น ยาแก้แพ้ ยาต้านไวรัส ยาฆ่าเชื้อรา เป็นต้น
  3. การฉายแสง โดยนวัตกรรม "TheraBeam UV308" เป็นเครื่องฉายแสงเฉพาะจุดสำหรับผู้ป่วยโรคผิวหนัง โดยเครื่องจะผลิตแสง UV ที่ช่วงคลื่น 308 นาโนเมตร ซึ่งจะเป็นแสงผ่านตัวกรองที่เรียกว่า Excimer Light ทำให้รักษาโรคผิวหนังได้ผลดี โดยลดผลข้างเคียงจากการฉายแสง การรักษาด้วยเครื่องนี้นอกจากจะสะดวกรวดเร็วแล้ว ยังไม่ทำให้รู้สึกเจ็บในขณะที่ทำการฉายแสง แต่จะรู้สึกอุ่น ๆ เท่านั้น ซึ่งจะใช้ระยะเวลาในการฉายแสง 15-60 วินาที ต่อ 1 ครั้ง ทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพียงเท่านี้อาการผื่นคันก็จะสามารถลดลงได้ โดยมีผลข้างเคียงน้อย ทำให้ผิวหนังกลับไปเป็นปกติได้เร็ว
  4. การรักษาด้วยการจี้เย็น เลเซอร์ ผ่าตัด

ทั้งนี้ระยะเวลาในการรักษาก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความรุนแรงของรอยโรค การตอบสนองของผิวต่อการรักษา และความถี่ในการฉายแสง ดังนั้นแนะนำให้ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนัง เพื่อเข้ารับการรักษาตามระยะเวลาที่เหมาะสม

> กลับสารบัญ


การดูแลและป้องกันโรคผิวหนัง

การดูแลผิวหนังให้แข็งแรงเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันโรคผิวหนัง โดยควรปฏิบัติดังนี้

  • ทำความสะอาดผิวอย่างสม่ำเสมอ อาบน้ำวันละ 1-2 ครั้งด้วยสบู่อ่อน ๆ และเช็ดตัวให้แห้ง
  • ทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว โดยเฉพาะหลังอาบน้ำ
  • ปกป้องผิวจากแสงแดด ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF และ PA ที่เหมาะสม สวมเสื้อผ้าที่ปกปิด และหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดจัด
  • หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ หากทราบว่าแพ้สารใด ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสสารนั้น
  • รักษาสุขอนามัย ล้างมือให้สะอาด ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ผัก ผลไม้ และน้ำสะอาดมีส่วนช่วยบำรุงผิว
  • จัดการความเครียด ความเครียดอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพผิว
  • ไปพบแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติ ไม่ควรปล่อยปละละเลยอาการทางผิวหนัง เพราะอาจลุกลามหรือเป็นสัญญาณของโรคร้ายแรงได้

> กลับสารบัญ


โรคผิวหนัง รู้ทันก่อนสาย ป้องกันและดูแลได้ด้วยตนเอง

โรคผิวหนังเป็นเรื่องใกล้ตัวที่หลายคนมองข้าม การทำความเข้าใจสาเหตุ อาการ และแนวทางการดูแลรักษาจะช่วยให้สามารถรับมือกับปัญหาเหล่านี้ได้อย่างทันท่วงที และรักษาสุขภาพผิวให้แข็งแรงอยู่เสมอ

หากคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับสุขภาพผิวหนัง สามารถปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังเพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติมได้ โดยศูนย์ผิวหนังและความงาม โรงพยาบาลนครธน ให้บริการดูแลโรคผิวหนังแบบครบวงจร ตั้งแต่การตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด ไปจนถึงการรักษาและติดตามผล พร้อมให้คำปรึกษาเพื่อสุขภาพผิวที่ดีและความงามจากภายในสู่ภายนอก โดยมุ่งมั่นที่จะให้คุณได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่องและตรงจุด ครบจบในที่เดียว เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับผิวของคุณ

> กลับสารบัญ


ช่องทางติดต่อโรงพยาบาลนครธน:

  1. - Website : https://www.nakornthon.com
  2. - Facebook : Nakornthon Hospital
  3. - Line : @nakornthon
  4. - Tel: 02-450-9999 (ตลอด 24 ชั่วโมง)


ปรึกษาทุกปัญหาสุขภาพแบบออนไลน์
ไม่เสียค่าใช้จ่าย




Share :

สินค้าในตระกร้าไม่ถูกต้องตามเงื่อนไข, กรุณาตรวจสอบจำนวน
จัดการตระกร้าสินค้า

เมื่อคลิก “อนุญาตคุกกี้ทั้งหมด” หมายความว่าผู้ใช้งานยอมรับที่จะเปิดการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ เพื่อให้เว็บไซต์สามารถทำงานได้อย่างถูกต้องและเต็มประสิทธิภาพ เพื่อเปิดใช้คุณสมบัติของโซเชียลมีเดีย และเพื่อวิเคราะห์การเข้าใช้งานเพื่อนำข้อมูลไปใช้ในการทำการตลาดและการโฆษณา รวมถึงการแบ่งปันข้อมูลการใช้งานกับพาร์ทเนอร์โซเชียลมีเดีย